ข่าว: SMF - Just Installed!
 
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
+  กระดานธรรมะ
|-+  กระดานสนทนาธรรม
| |-+  สาระธรรมทั่วไป
| | |-+  คุณธรรมทั่วไปในสังคม
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมทั่วไปในสังคม  (อ่าน 13173 ครั้ง)
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2008, 04:00:19 PM »

          หัวข้อนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อแสดงข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และปัญหาหลายหลากในสังคม จากมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน ไม่มีเจตนาให้เป็นบรรทัดฐานของเรื่องใดๆ ซึ่งบางเรื่อง ก็เป็นข้อที่ดำริเอง บางเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่มีผู้อื่นขอให้เขียน โดยรวมๆก็จะเป็นเรื่องทั่วๆไป ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ไม่ใหญ่ไม่เล็กบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องสัพเพเหระอย่างหนึ่ง เพียงแต่อาจจะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ใกล้ตัวคนทั่วๆไปในสังคมมากกว่าบทความที่เขียนแสดงไว้ในหัวข้อสัพเพเหระธรรมสักหน่อย ดังนั้น หากจะมีสมาชิกท่านใดจะสอบถามปัญหาทั่วๆไป ก็อาจจะถามมาได้ในกระทู้นี้

          จากพื้นฐานที่ได้ปฏิบัติภาวนาจิต ทำสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน มาพอสมควร ด้วยอานิสงค์แห่งการเจริญสติปัฏฐาน ก็จึงสามารถกำหนดรู้สติปัฏฐานของผู้อื่นได้บ้างตามสมควร และเมื่อได้พิจารณาคนทั่วไปในสังคมบ้างบางเวลา บางขณะ ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ผู้เขียนเห็นว่า ข้อที่น่าเป็นห่วงในสังคมนี้ สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ไม่ใช่การที่มีคนชั่ว หรือมีคนกระทำสิ่งบาป ปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมของเราทุกวันนี้ เพราะทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่าต้องเกิดขึ้น เป็นธรรมดา(ถึงแม้จะมิได้ยินดีให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม) แต่สิ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าเป็นสิ่งน่าเสียดายก็คือ การที่ผู้คนในสังคมจำนวนหนึ่ง ท้อแท้ใจ หรือกระทั่งยอมแพ้ ในการที่จะทำความดี ในการที่จะเสียสละ ในการที่จะรักษาคุณงามความดีของตนไว้ เช่นนี้แล้ว ย่อมมิต้องกล่าวถึงการทำความดีที่ตนได้กระทำไปแล้ว ให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป ดังนั้น จึงปรากฏอยู่เป็นครั้งคราว ที่บุคคลในสังคมนี้ บางคน เมื่อปรารภที่จะทำความดีขึ้นแล้วในใจ แต่ก็มิได้กระทำ เพราะสิ่งแวดล้อม ประสพการณ์ ที่ตนได้เคยประสบมา หล่อหลอมให้เกิดเป็นความคิด ความเชื่อ หรือทิฏฐิ ที่คับแคบ ระวังจนกลายเป็นระแวง เมื่อนานไป การทำความดี การเสียสละ ความเมตตา ก็กลายเป็นสิ่งโง่ไป ถึงแม้ว่าบางครั้ง จะรู้สึกแย้งในใจของตนอยู่บ้างก็ตาม แต่สุดท้าย ก็เลือกที่จะไม่เสียสละ หรือกระทั่งเลือกที่จะเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตน ก็มี ก็หากว่า ความเสียสละจากผู้ที่ยังมีมโนธรรมอยู่ ยังเป็นสิ่งที่หวังไม่ได้ หรือหวังได้ยาก ในสังคมนี้ เสียแล้ว จะกล่าวไปใยกับผู้ที่ปราศจากมโนธรรม หรือผู้ที่มโนธรรมได้ถูกกลบ ถูกลบให้เลือนหายไปจากใจของเขาเสียแล้ว

          คุณธรรมในสังคม จะมิได้สูญสิ้นไปเพราะผู้มีมโนธรรมมีน้อย ผู้ใจบาปมีมาก แต่จะสูญสิ้นไปเพราะผู้มีมโนธรรมท้อแท้ อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถรักษาคุณธรรมของตนไว้ได้อย่างมั่นคงพอ

          อนึ่ง การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น แล้วไม่หวังผลตอบแทน ทานนั้นย่อมบริสุทธิ์ ผู้สละทานอันบริสุทธิ์ย่อมไม่ปรากฏเหตุให้ท้อแท้ในการสละทานได้แต่อย่างใด มีแต่ผู้หวังการตอบแทนจากผู้อื่นเท่านั้น จึงมีเหตุให้ผิดหวัง และท้อแท้ในการเสียสละได้

          ที่จริง ความหมายเหล่านี้ ก็มีกล่าวสอนกันมานานแล้ว ไม่น้อยแล้ว แต่ ยิ่งนานไป คนที่ชอบคิดอย่างนี้ ชอบฟังอย่างนี้ ก็ยิ่งมีน้อยลง ถึงแม้คนโดยมากไม่กล้าคัดค้านคำสอนเหล่านี้ แต่ก็ไม่ยินดีที่จะพิจารณาน้อมเข้ามาในใจให้ดี ยิ่งนานไป คนก็มักจะมีความยินดีมากกว่า ในการที่จะฟังคำกล่าวว่า ทำดีอย่างนี้ จะได้รับผลอย่างนั้น เช่นว่า ทำบุญอย่างนี้ ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในที่นั้น หรือ รักษาศีลอย่างนี้ ตักบาตรอย่างนั้น แล้วอธิษฐาน ก็จะได้ไปเกิดเป็นผู้มีวรรณะดี มีกายสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ เป็นต้น แล้วจึงจะมีกำลังใจทำความดี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังดีกว่าการมิได้ทำความดีเลย เพียงแต่ เรากล่าวว่า การทำความดีด้วยเหตุอย่างนี้ ไม่มั่นคงพอที่จะป้องกันความเสื่อมแก่อัตตภาพตนได้ยาวนาน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 16, 2009, 03:07:04 PM โดย zen » บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 01:41:55 PM »


          วันนี้ได้เห็นถ่ายทอดพระราชพิธีทางโทรทัศน์ ดูไปก็ให้ความรู้สึกระลึกว่า ผู้ที่มั่งคงในความเสียสละ และคุณงามความดี ถึงมีจำนวนน้อย แต่กลับสร้างคุณประโยชน์ได้ใหญ่หลวงนัก




จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต

                                                                                                                   
สุข จากการเป็นผู้รับ ไม่อาจเทียบเคียงกับ สุข จากการเป็นผู้ให้ ได้เลย
                                                                                                           
ผู้แสวงหาการกอบโกยจากโลก ย่อมถูกโลกเหยียดหยาม
ผู้สละคืนแก่โลก โลกย่อมสรรเสริญ

                                                                                                           
จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต จุมพิต



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2008, 08:36:22 PM โดย zen » บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2008, 10:22:06 PM »

          ช่วงนี้ มักจะเห็นข่าวความวุ่นวายแตกแยกของคนในสังคม มีการเบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน ด้วยอุบายต่างๆ ปรากฏความเดือดร้อนทุกข์ยากไปทั่ว ต่างฝ่ายก็ต่างยึดผลประโยชน์ ความเชื่อ หรือทิฏฐิของตนเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายก็เห็นว่าตนถูก ต่างฝ่ายก็พยายามรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ ก็ปรากฏความจลาจลไปมีที่สิ้นสุด

         ปัญหาเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า หากบุคคลทั้งหลายที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกันนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างพิจารณาให้แยบคาย ถึงฐานะตน และหน้าที่อันควรแก่ฐานะตน แล้วพึงกระทำหน้าที่อันควรแก่ฐานะของตนในสังคมแล้ว ด้วยความตั้งมั่น พากเพียร ไม่ปล่อยให้อคติ ทิฏฐิมานะ และโทสะครอบงำ ก็จะพึงคาดหวังความสงบสุขในสังคมได้ตามเหมาะสมแก่อัตตภาพได้มากมายกว่านี้

          อย่างไรก็ดี บุคคลทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมมีวิบากแห่งตนเองเท่านั้น เป็นที่ตั้ง เป็นที่อาศัย มิได้มีประเทศ หรือบุคคลอื่น หรือพฤติกรรมของผู้อื่น เป็นที่ตั้งเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะกระทำการอันใด ด้วยจุดประสงค์อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้โลภะ และ/หรือ โทสะ และ/หรือ โมหะ อันเป็นเครื่องเกิดแห่งอกุศล มาครอบงำจิตได้นั้น ย่อมไม่ดี

          ยกตัวอย่างว่า แม้แต่ผู้พิพากษา เมื่อตัดสินโทษแก่ผู้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่ากระทำความผิดไว้จริง จึงตัดสินโทษไป โดยประกอบด้วยความเหยียดหยาม หรือเกลียดชัง หรือด้วยความเพ่งแต่โทษแก่คนผู้นั้น อกุศลย่อมเป็นไปแล้ว แก่ผู้พิพากษานั้น ถึงแม้จะอาศัยอำนาจตามกฏหมายบ้านเมืองมาตัดสินโทษ ก็ตาม

          ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ปุถุชนคิดว่าดีเพียงใดก็ตาม แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆในโลกนี้เลย ที่จะเป็นเหตุควรแก่การเกลียดชัง พยาบาท หรือเพ่งโทษทำร้ายผู้อื่นเลย หรือแม้แต่การทำร้ายผู้บริสุทธิ์สักร้อยคน โดยอ้างว่า หรือคิดว่า เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นสักล้านคน ก็เป็นบาป อยู่ดี

บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2008, 09:21:22 PM »


          คนบางคน มุ่งแสวงหาเพื่อให้บรรลุถึง หรือได้มา ซึ่งสิ่งใหญ่โต สิ่งพิศดาร สิ่งอันยิ่งยวด อันพึงมีอยู่ในโลกแต่หาได้ยาก บางคราวก็ต้องแย่งชิงกัน โดยสำคัญว่า เป็นความหมายของชีวิต หรือเป็นสิ่งทำให้ชีวิตตนมีความหมายมากขึ้น แท้จริงแล้ว เขาทำให้ความหมายของชีวิตตน เล็กลง ด้อยลง เพราะเหตุว่า ยิ่งขวนขวาย ก็ยิ่งเห็นว่า ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ยิ่งกว่า มีความหมายมากกว่า ที่ตนพึงขวนขวายให้ได้แก่ตน จึงเป็นเหตุให้ ยิ่งนาน ก็ยิ่งเห็นว่า ตน ยังอยู่ห่างความบริบูรณ์ บุคคลเช่นนี้ ย่อมไม่ฉลาด


          คนบางคน พิจารณาเพ่งเล็ง ด้วยความยินดีพอใจ เห็นความหมายอันลึกซึ้ง ประณีต แยบคาย แม้ในสิ่งอันเล็กน้อย ในสิ่งอันมีกลาดเกลื่อนอยู่ทั่วไป ในสิ่งอันมีอยู่เสมอๆ ในสิ่งอันมีอยู่เหลือเฟือ ไม่ต้องแย่งชิงกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขากลับประสบความหมายอันยิ่งยวด แก่ชีวิตตน บุคคลเช่นนี้ เป็นผู้ฉลาด


          เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะกล่าวไปใยเล่า ถึงบุคคลซึ่งมัวแต่โศกเศร้าคร่ำครวญถึงสิ่งที่ตนได้เสียไปแล้ว โดยที่ยังมิเห็นแท้ในหนทางอันจะได้คืนมา และมิได้ใส่ใจก้ับสิ่งที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่ แก่ตน


          บุคคลมีทรัพย์สินในโลกมาก มีชื่อเสียงมาก มีข้าทาสบริวารมาก ฯลฯ ย่อมเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามวาสนาบารมี ที่ได้สั่งสมมา บ้างกำหนดรู้ได้ บ้างกำหนดรู้ไม่ได้ แต่ บุคคลจะดี หรือเลว เป็นคนพาล หรือเป็นบัณฑิต เป็นคนเข้มแข็ง หรืออ่อนแอ ย่อมขึ้นอยู่กับเจตนา และความแยบคาย ของตน มิได้ขึ้นอยู่กับการยอมรับ หรือการรับรองของผู้อื่น มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของตำราที่ได้อ่าน ได้ท่องจำกันมา และ มิได้ขึ้นอยู่กับกริยาท่าทีที่แสดงต่อหน้าผู้อื่นเลย


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 01, 2009, 11:33:29 PM »


          พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง คือ สมถะ และวิปัสสนา

          เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๒ นี้ สำหรับบุคคลที่ศรัทธาใกล้ชิด ก็ได้มอบพรให้ตามสมควรแล้ว ในที่นี้ก็คงจะไม่ได้กล่าวคำอวยพรใดๆอีก แต่ จะขอกล่าว ธรรม เป็นเครื่องรักษาตนประการหนึ่ง ว่า ขอให้ทุกท่านปฏิบัติสิ่งอันเป็นกิจหน้าที่การงานแห่งตน ด้วยความเพียรไป ด้วยความสุจริต ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต่อหน้าที่อันสมควรแก่ตนนั้นๆ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ชอบธรรม อย่าปล่อยให้ทิฏฐิ หรืออคติใดๆครอบงำจิต จนเป็นเหตุให้ประกอบหน้าที่การงานของตนไปด้วยความไม่สุจริต เพราะบุคคลผู้ตั้งตน ประกอบตน รักษาประคับประคองตน ด้วยความสุจริตอยู่ในหน้าที่การงานใด ย่อมไม่หลงทางในหน้าที่การงานนั้น ผู้ที่ประกอบชีวิตตนด้วยความสุจริต ย่อมไม่ดำเนินชีวิตไปเพื่อความหลงใหล หลงทาง หรือหลงผิด ก็ย่อมเป็นผู้ดำเนินชีวิตไปอย่างมีคุณประโยชน์ เพื่อความเป็นคุณประโยชน์ จะเล็กน้อยบ้าง จะอย่างกลางบ้าง จะอย่างสูงบ้าง จะเพื่อตนบ้าง จะเพื่อผู้อื่นบ้าง จะเพื่อตนเองและผู้อื่นบ้าง เป็นไปตามฐานะปัจจัยที่พร้อมอยู่ในขณะนั้น ก็นับได้ว่า เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นโทษ

          การประกอบความดีงามนั้น ก็มีลักษณะของความชำนาญ และความเป็นกำลัง ประกอบอยู่ กล่าวคือ ยิ่งพากเพียร ใส่ใจ และแยบคาย ที่จะประกอบความดีงามแล้ว ยิ่งมากไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งคล่องแคล่วชำนาญ(ให้เกิดความลุล่วงในความดีงามนั้น) ก็ยิ่งมีกำลัง(กำจัด หรือข่ม สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความดีงามนั้น) มากขึ้น เป็นลำดับ ดังนั้น ผู้ที่เพียรประกอบความดีงามแล้ว เห็นว่ายังไม่ได้ผล หรือยังได้ผลน้อย หรือยังได้ผลไม่ถึงเท่าที่คาดหวัง จึงไม่ควรท้อถอย เพราะธรรมบางประการ ที่ต้องอาศัยเวลา ความชำนาญ และความมีกำลังมาก จึงจะพึงสำเร็จลุล่วงได้โดยบริบูรณ์นี้ มีอยู่ และ ธรรมบางประการ ที่ลุล่วงได้ยากลำบาก แต่เมื่อลุล่วงแล้ว มีคุณอันจะยกทรัพย์ใดๆในโลกมาเทียบเคียงมิได้นี้ มีอยู่จริง นอกจากนี้ ยังเป็นความจริง ที่ว่า ธรรมบางประการ เมื่อหมั่นเจริญให้มากแล้ว ถึงแม้หากจะยังไม่ถึงที่สุดในชาติปัจจุบัน แต่จะเป็นทรัพย์ติดตัวไปได้ ไม่สูญหาย ถึงแม้ได้ตายไปจากภพชาตินี้แล้วก็ตาม

          ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้ประกอบชีวิตตนด้วยความไม่ประมาทเถิด เพราะผู้ประมาทอยู่ในการใด ย่อมมิได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสติอยู่ในการนั้น



บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 13, 2009, 02:24:40 PM »


          เมื่อได้ข่าวเหตุการณ์วุ่นวาย และรุนแรงในทุกวันนี้แล้ว บางคนอาจจะกังวลมาก แต่อย่างไรก็ดี ควรระลึกให้ดีว่า บุคคลทั้งหลาย หรือสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีวิบากของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ประเทศ เมื่อบุคคลพยายามแสวงหาผลที่ตนต้องการ ด้วยจิตใจที่เร่าร้อน ด้วยโทสะ ไม่เพียรด้วยความอดทน อกุศลก็เป็นสิ่งที่เกิดได้ง่าย คนฉลาดไม่พึงเข้าใกล้ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี หรือแม้ด้วยความคิดก็ตาม

           ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรก็ตาม ความประทุษร้ายกัน ย่อมไม่ดี


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #6 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2009, 12:06:50 AM »


          บุคคลบางพวก ยังมักมีการประกอบสิ่งบางประการที่มีผลทำร้ายตนเองอยู่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นทิฏฐิมานะบางประการ ฯลฯ แต่ตนเองไม่รู้ชัดมาก่อน ดังนี้แล้ว บางกรณี เมื่อกระทำต่อผู้อื่นด้วยความหวังดี แต่ผลกลับกลายเป็นการทำร้ายผู้ตนหวังดีด้วย ก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บ่อยครั้งที่ตนเองก็ไม่ทราบ ว่าเกิดจากการกระทำที่ตนคิดว่าเ็ป็นความหวังดี นั่นเอง

          บุคคลพึงพิจารณาขวนขวายไปในการรักษาตนให้ได้เป็นอย่างดีก่อน ด้วยความแยบคาย เมื่อเห็นว่าเป็นผลอย่างดีตามสมควรแล้ว จึงค่อยพิจารณาว่า สิ่งใด ที่พึงเป็นผลดีได้แก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง แต่ก็ยังไม่ควรสุดโต่งจนเกินไป เพราะเหตุว่า แต่ละบุคคล ก็ยังมีบางประการ ที่เป็นฐานะ เป็นปัจจัยแห่งตน อันแตกต่างกันไป


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #7 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2009, 11:18:39 AM »


          บุคคลผู้แสวงหายินดีในลาภ ยศ สรรเสริญในโลก ไม่ว่าจะแสดงตนดูน่าเชื่อถือแก่คนทั่วไปสักเพียงใดก็ตาม จะได้รับการเชื่อถือศรัทธาจากผู้อื่นมากเพียงใดก็ตาม แต่แท้ที่จริงแล้ว บุคคลนั้นกำลังกระทำตนให้อ่อนแอ ตกอยู่ในอันตรายอยู่ เพราะเหตุว่า เป็นการกระทำตนเพื่ออาศัย หรือเพื่อพึ่งพาผู้อื่นอยู่ เมื่อถูกผู้อื่นสรรเสริญ ก็ย่อมยินดี เมื่อถูกผู้อื่นตำหนิ หรือไม่สรรเสริญ ก็ย่อมเดือดร้อน ก็ย่อมไม่ยินดี เมื่อเป็นดังนี้แล้ว จิตใจก็ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งโลภะ โทสะ และโมหะ ถึงแม้ว่าจะพยายามคิดว่าตนไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะอยู่ ก็ตาม ยิ่งนานไป จิตใจก็ยิ่งไม่มีความสุข ยิ่งหมอง ยิ่งกระด้าง ยิ่งร้อนรน บั้นปลายย่อมเข้าถึงความเสื่อมลง ทั้งทางความรู้สึกนึกคิดในจิตใจ ทั้งทางวาจา และทั้งความประพฤติทางกาย จนกระทั่งควบคุมตนให้เหมาะควรมิได้ เมื่อดังนี้แล้ว จิตใจก็ย่อมตกลงสู่ความหวาดกลัว หากุศลได้ยากขึ้นทุกที

          ผู้ฉลาด ย่อมรู้ว่า ศรัทธา และสรรเสริญที่ผู้อื่นมีต่อตนนั้น ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตน ส่วนที่ได้แก่ตนนั้นพึงเป็นเพียงภาระ มิเช่นนั้นแล้ว ย่อมพาตนไปสู่ความเสื่อมในที่สุด
         
          ผู้โง่เขลา ย่อมหลงระเริงยินดีไปว่า ศรัทธาและสรรเสริญที่ผู้อื่นมีต่อตนนั้น เป็นไปเพื่อตน เป็นของตน เป็นสิ่งที่ตนสมควรต้องได้รับ เป็นสิ่งพึงแสวงหา เป็นสิ่งพึงสั่งสม เป็นสิ่งที่ไม่ควรเสื่อมไป

          ผู้แบกรับศรัทธาจากผู้อื่นอยู่ เปรียบอุปมาว่า เป็นผู้แบกกระสอบข้าวสารกำลังเดินข้ามสะพานไม้อันกว้างเพียงคืบหนึ่ง ส่วนผู้มิได้แบกรับศรัทธาจากผู้อื่นอยู่ เปรียบอุปมาว่า เป็นผู้กำลังเดินตัวเปล่าข้ามสะพานไม้ อันกว้างประมาณศอกหนึ่ง ผู้ไม่รู้ความย่อมสำคัญกลับกัน



บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:21:29 PM »


          บุคคลทั่วไปในโลกนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่อาจหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ดังนั้น การใช้ความรู้ ความสามารถ และสติปัญญา ในการวินิจฉัยหน้าที่การงานของตนนั้น ได้อย่างถูกต้องไปทั้งหมดเสมอไป จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนี้แล้ว หน้าที่การงานบางประการ ก็เป็นสิ่งที่จำเ็ป็นต้องกระทำ หรือควรกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ฉลาด ย่อมควรกระทำหน้าที่การงานของตนไปด้วย ความเพียร ความแยบคาย ด้วยสติ และปัญญา เป็นอย่างดี ตามสมควรที่อยู่ในกำลังตน แต่ที่ควรระลึกกำกับตนไว้ให้ดีอย่างยิ่งประการหนึ่งก็คือ ความไม่มีอคติ เพราะความผิดพลาดด้วยอคตินั้น มีผล หรือบาป มากกว่าการผิดพลาดเพราะด้วยเกินสติปัญญาของตนที่จะป้องกันได้

          ก็จริงอยู่ว่า ผู้ยังไม่บรรลุพระนิพพาน ย่อมยังไม่พ้นไปจากอคติในโลกได้อย่างสิ้นเชิง ก็จะนับประสาอะไรกับปุถุชน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ควรใส่ใจพิจารณาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เท่าที่แต่ละบุคคลพอที่จะพิจารณาเห็นได้ด้วยตน

          ผลที่ถูก แต่ได้มาด้วยเจตนาที่ผิด ผู้ที่กระทำสิ่งนั้น ย่อมกระทำผิด


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 27, 2010, 01:48:56 PM »


          สถานะการณ์เปลี่ยนแปลง ทิฐิคนก็เปลี่ยนไป

          เมื่อทิฐิ หรือความคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อประกอบเข้ากับเหตุการณ์ในขณะนั้นแล้ว ปรากฏว่า สนองตัณหาตนได้ดี บุคคลมักเชื่อว่า ทิฐินั้น ถูกต้อง เป็นธรรม แต่ต่อมา เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป ทิฐิที่ตนเคยว่าถูกต้อง เป็นธรรม ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับประโยชน์อันเป็นไปเพื่อสนองตัณหาของตน บุคคลก็มักน้อมไปในทิฐิอย่างอื่น หมิ่นทิฐิเดิมที่ตนเคยสำคัญว่าถูกต้อง เป็นธรรม ว่าผิด ว่าชั่ว หรือไม่ก็หลงลืมไปว่า ตนเอง ก็เคยสำคัญว่าทิฐิอย่างนั้นดี และลืมไปว่า ตนเอง ก็เคยประพฤติกาย วาจา และใจ ไปตามนั้นมาก่อน ยกตัวอย่างว่า บุคคลหนึ่ง เมื่อเห็นผู้อื่นทำผิดอย่างหนึ่งและถูกลงโทษ ก็เห็นว่าสมควรแล้ว แต่ครั้นเมื่อตนเองประพฤติผิดอย่างเดียวกันนั้น แล้วจะถูกลงโทษเช่นกัน ก็กลับมีความเห็นว่า การอภัยโทษ หรือการลดหย่อนโทษ ควรมี เป็นต้น ฯลฯ

          เมื่อโลกเปลี่ยนไป หรือสถานะการณ์ของตนเปลี่ยนไป ทิฐิ ของคนก็เปลี่ยนไป ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ ตัณหา ของคน

          ด้วยเหตุอย่างนี้เอง สิ่งที่ชอบด้วยธรรม ของหมู่ชนซึ่งสุดโต่งไปในตัณหาความทะยานอยาก ความยินดียินร้ายของตน จึงมีทั้งที่สอดคล้องกันได้ และขัดแย้งกันได้ หรือกลับกรอกไปมาก็ได้ เป็นธรรมดา ส่วนความชอบด้วยธรรม ของหมู่ชนที่พ้น หรือมุ่งขจัด ตัณหาความทะยาน ในจิตตน มักตรงกัน หรือสอดคล้องกัน ไม่กลับไปกลับมา เป็นธรรมดา

          ความถูกต้อง โดยธรรม มีวิถีเดียว ส่วนความถูกต้อง ตามความพอใจของเหล่าสัตว์ ไม่มีประมาณ ไม่ว่าสัตว์เหล่านั้น จะสำคัญหลอกลวงตนเอง หรือผู้อื่น ว่าความพอใจของตนนั้น เป็นธรรมอย่างยิ่ง เท่าใดก็ตาม


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #10 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2010, 02:54:14 PM »


          ผู้มีปัญญาดี ย่อมไม่ตัดสินถูก ผิด ดี ชั่ว กุศล อกุศล ด้วยผลเฉพาะหน้าของสิ่งนั้นเพียงส่วนเดียว แต่ย่อมพิจารณาครอบคลุมไปถึงเหตุที่มาของสิ่งนั้น เจตนาในการกระทำสิ่งนั้น และรวมไปถึงผลที่อาจสืบเนื่องต่อๆไปในภายหลังด้วย

          เรื่องราวบางประการ เกิดขึ้นด้วยเป็นผลจากการสั่งสมเหตุมามาก มาแน่นหนา ต่อมาเมื่อถึงปลายเหตุแล้ว ผล ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ หลีกเลี่ยงได้ยาก เป็นธรรมดา อย่างไรก็ดี ความสงบสุขเรียบร้อยนั้น อย่างไรก็นับเป็นสิ่งดี แต่ความมีเจตนาประทุษร้ายต่อกัน เป็นสิ่งที่ไม่อาจนับว่าดีได้เลย

          สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว ความดี ความชั่ว ไม่อาจนับเป็นที่สุดได้ โดยการจำแนก หรือโดยความเข้าใจ ด้วยเหตุด้วยผลของบุคคลได้เลย ควรนับที่จิตใจเป็นสำคัญ ว่าประกอบด้วยตัณหา ทิฐิ หรือไม่ ประกอบด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความพยาบาท ความเคียดแค้นเกลียดชัง ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร ในการที่กระทำสิ่งนั้นอยู่


บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
zen
Administrator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 351


« ตอบ #11 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2010, 02:22:33 PM »


          สภาพบ้านเมืองเราทุกวันนี้ สับสน วุ่นวาย เต็มไปด้วยความไม่สงบ เต็มไปด้วยความประทุษร้ายเบียดเบียนกัน ทั้งทางกายก็ดี วาจาก็ดี หรือแม้แต่ทางความคิดจิตใจ ก็มีมาก จึงมักเป็นเหตุให้จิตใจผู้คนร้อนรุ่ม เป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประทุษร้ายก็ดี ผู้ถูกประทุษร้ายก็ดี ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า ทิฐิของคนในสังคมมีความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งพรรคแบ่งพวก ต่างฝ่ายก็ต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ผิด ผู้เลว ต่างฝ่ายก็ต่างมีความเห็นว่า ตนถูกต้อง เป็นอย่างนี้กันทุกฝ่าย ทำให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาไม่ได้ จากปัญหาพื้นฐาน อันได้แก่ทางกายภาพ ก็ลุกลามใหญ่โตไปเป็นปัญหาทางจิตใจ ปัญหาทางความคิด อันอคติต่อกัน มุ่งแต่จะกำจัดฝ่ายตรงกันข้ามให้พินาศไป ไม่ใส่ใจในความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่น ไม่พิจารณาให้เห็นซึ้งถึงสัจจะความเป็นจริงว่า ผู้ที่เราเห็นว่ากระทำผิดนั้น เขากระทำด้วยเหตุอะไร ด้วยความขัดสนในสิ่งใด จึงเป็นเหตุให้เขาทำผิดอย่างนั้น แท้จริงแล้ว ในโลกนี้นั้น ความดีก็มีเหตุ ความชั่วก็มีเหตุ คนดีแล้ว ก็กลับชั่วได้ คนที่ชั่วมาก่อน ก็กลับตัวเป็นคนดีได้ บุคคลผู้บรรลุพระอรหันต์ได้นั้น มีท่านใดบ้าง ที่ไม่เคยผิดมาก่อน ไม่เคยทำบาปมาก่อน ไม่เคยเบียดเบียนผู้ใดเลยมาก่อน คนบางพวก บวชเป็นภิกษุด้วยศรัทธา มุ่งรู้ในธรรม ต่อมาเมื่อมีทรัพย์ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ ความยินดี ไหลมาเทมาสู่ตน นานไปก็เกิดความโลภ ก็กลายเป็นการครองผ้าเหลือง กลายเป็นการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น เพื่อโลกธรรม อันสนองตัณหาความโลภแห่งตน กลายเป็นความเสื่อมในธรรม เสื่อมในกุศล มีอบายเป็นที่ไปแห่งตน อย่างนี้ก็เคยมี บุคคลที่เมื่อดีแล้ว ก็ไม่มีทางกลับกลายเป็นอื่นได้ ในโลกนี้ ก็คงจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีความเป็นพุทธะในจิตตนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคนดีก็ตาม คนชั่วก็ตาม นั้นก็จำแนกตามความเห็นถูก เห็นผิด ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเครื่องตัดสินอันเป็นที่สุด ก็จริงอยู่ว่า เพื่อความสงบสุขของคนส่วนใหญ่ในสังคม บางกรณีก็จำเป็นต้องมีการจำกัดพฤติกรรมบางอย่างอันไม่ดีงาม อันเป็นอันตรายเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การมีอคติ อาฆาต พยาบาท คิดประทุษร้ายทำลายกันนั้น ไม่ควรมี ไม่เป็นประโยชน์ และไม่มีความจำเป็นอย่างแท้จริงเลย ชีวิตทั้งหลายอันมีความเป็นพุทธะอยู่ภายใน ไม่ควรมุ่งทำลาย

          โลกนี้ แผ่นดินนี้ ประเทศนี้ ล้วนมีได้เพราะวิบากแห่งสัตว์ แห่งบุคคล อันเสวยวิบากมาตั้งอยู่ในภพชาตินี้ ทั้งหมด ประกอบเข้าด้วยกัน ดังนั้น ความเป็นไปในโลกนี้ ทั้งที่เราพอใจ และไม่พอใจนั้น ไม่ควรโทษว่า เป็นเหตุเพราะบุคคลอื่นเพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ถูกต้องโดยความเป็นจริง หากไม่แก้ไขก็แล้วไป แต่หากจะแก้ไขแล้ว ควรที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง หรือเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น เพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่า ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลด้วยกันทุกฝ่าย มีความเดือดร้อนด้วยกันทุกฝ่าย จึงควรนับว่า เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียในการนั้น หากผู้อื่นไม่ยอมแก้ไข หรือไม่แก้ไขให้ถูกต้อง เราเองก็ควรเป็นฝ่ายที่เริ่มแก้ไขที่ตัวเราเอง ใจเราเอง เสียก่อน ไม่ใช่ไปพยาบาทเคียดแค้น คิดประทุษร้ายผู้อื่นที่ยังไม่ยอมแก้ไขตน

          ปุถุชนในโลกนี้ ไม่มากก็น้อย รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มักชอบเอาชนะผู้อื่น ชัยชนะบางอย่าง ก็ได้มาด้วยความเหยียบย่ำทำร้ายซึ่งกันและกัน เป็นชัยชนะชนิดที่ว่า ถ้ามีฝ่ายหนึ่งดีใจ สมใจ ก็จะต้องมีอีกฝ่ายหนึ่งที่เจ็บปวดใจ ชัยชนะอย่างนี้ ไม่มั่นคง ไม่เป็นกุศล รังแต่จะเป็นเหตุให้พยาบาท ให้หวาดระแวงซึ่งกันและกันไปตลอด ไม่สมควรเรียกได้ว่า เป็นชัยชนะอย่างแท้จริง หรือหมดจด

          ในปุถุชนนั้น มีทั้งความดี และความเลว มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่บุคคลจะสั่งสมปรุงแต่งจิตตนมา แต่ไม่มีใครเลวอย่างเดียว หรือดีอย่างเดียว ไม่มีใครเลวตลอดไป หรือดีตลอดไป การจะเอาชนะความชั่วของผู้อื่น ด้วยการมุ่งเพียงแต่จะประหัตถ์ประหารทำลายกันฝ่ายเดียว ไม่อาจจะชนะได้โดยสมบูรณ์ และเป็นธรรม แต่เราควรพยายามเอาชนะความชั่วของผู้อื่น ด้วยการดึงเอาส่วนของความดีในจิตใจของคนเหล่านั้นขึ้นมา แล้วสนับสนุนช่วยเหลือจรรโลงให้ส่วนของความดีงามในจิตใจของคนเหล่านั้นเจริญงอกงาม มีกำลัง จนกระทั่งฝืน ข่ม ควบคุม หรือเอาชนะความชั่วในจิตใจของคนเหล่านั้นเองได้ หากกระทำได้เช่นนี้แล้ว จึงจะควรนับว่า เป็นชัยชนะที่หมดจด เป็นกุศล ยั่งยืน สันติสุข ไม่ใช่ชัยชนะบนกองเลือด บนความสูญเสียของผู้อื่น ก็จริงอยู่ว่า ปัญหาบางอย่าง เกิดจากเหตุอันสะสมมามาก และยาวนาน ย่อมยากที่จะแก้ไขให้สำเร็จได้โดยเร็ว ด้วยความถูกต้องโดยธรรม แต่มีสักกี่คนที่พยายาม หรือแม้กระทั่งพิจารณาในหนทางนี้อย่างแท้จริง ไม่ว่าปากจะกล่าวอย่างไรก็ตาม แต่ใจจริงแล้ว ก็มักล้วนแต่มุ่งประโยชน์เฉพาะตนเป็นหลัก เป็นที่ตั้ง เท่านั้น

          ในโลกนี้ ในประเทศนี้ ใครๆก็ว่าตนเองถูกต้องกันแทบทั้งนั้น ดังนั้น บ้านเมืองเราเต็มได้ด้วยคนถูก แต่คนที่ไม่มีจิตเบียดเบียนผู้อื่นมีอยู่เท่าไร? คนที่เสียสละจริง มีอยู่เท่าไร?

          สาธุชนพึงพิจารณาตนให้แยบคาย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2010, 02:31:20 PM โดย zen » บันทึกการเข้า

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
หน้า: [1] ขึ้นบน พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.199 วินาที กับ 19 คำสั่ง