ข่าว:
SMF - Just Installed!
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
กระดานธรรมะ
ข้อมูลสาระธรรม และคำสอน
ธรรมะ โดย ท่านวสันต์
อกุศลมูล และตัณหา ต่างกันอย่างไร?
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
หน้า:
[
1
]
ผู้เขียน
หัวข้อ: อกุศลมูล และตัณหา ต่างกันอย่างไร? (อ่าน 121061 ครั้ง)
zen
Administrator
Sr. Member
ออฟไลน์
กระทู้: 351
อกุศลมูล และตัณหา ต่างกันอย่างไร?
«
เมื่อ:
สิงหาคม 04, 2008, 01:53:48 PM »
อกุศลมูล (โลภะ โทสะ โมหะ) และ ตัณหา ต่างกันอย่างไร
ก. ผมอ่านและจดมาจาก Internet ดังนี้ว่า "ทุกขสมุทัย คือ เหตุแห่งการเกิดทุกข์ (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)"
ข. หนังสือ พุทธธรรม (ฉบับเดิม) ของท่านพระธรรมปิฎก หน้า 282 กล่าวว่า "อกุศลมูล 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ"
ผมเกิดข้อสงสัยดังนี้ครับ
1. เมื่ออวิชชาถือเป็นปัจจัยแห่งทุกข์ ตามปฏิจจสมุปบาท ซึ่งตามข้อ ข. "อกุศลมูล 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ" ทำไมจึงต่างไปจากข้อ 1 ที่บอกว่าเหตุแห่งทุกข์คือ (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
ทั้ง 2 ข้อเป็นปัจจัยซึ่งกันอย่างไร ขอกราบอนุโมทนาบุญครับ
เรากล่าวว่า โลภะ โทสะ โมหะ คือ เจตนา
โดยแท้จริง บุคคล พึงกำหนด ด้วยใจว่า โลภะ เกิดขึ้น โมหะเกิดขึ้น โทสะเกิดขึ้น ได้ทีเดียว
เมื่อต้องการให้ โมหะ ลดน้อยลง ต้องกำหนดเจตนา โดยใจ ว่าจะระงับ โทสะ โลภะ ก็อย่างเดียวกัน ทั้ง โมหะ โทสะ โลภะ จะไม่เกิดขึ้นเอง และจะไม่ลดไปเอง
แต่ปฏิจจสมุปบาทธรรม บุคคลผู้หนึ่งจะ คิดว่า อวิชชา ก็ดี สังขารก็ดี หรือแม้อย่างอื่น ใน ปฏิจจสมุปบาท นั้น จะเกิดขึ้น หรือ จะกำหนดว่า ลดน้อยลงไป มิได้เลย ก็ถ้ามีบุคคล คิดว่า อวิชชา จงเกิดก็ดี หรือ ลดไปก็ดี จะเป็นคะเนเอาอย่างเดียว
ก็ โลภะ โมหะ โทสะ เป็นกรรม อันเกิดตอนไหน เป็นไปตอนไหน ใน ปฏิจจสมุปบาท ก็กล่าวว่า ทุกเมื่อ คือ กรรมใด ที่ทำให้ บุคคล มีจิตหลงลืม นึกไม่ได้ ถูกปิดบัง ซ่อนเร้น วิบากนั้น เป็น อวิชชา
ก็บางครั้ง กรรม เมื่อทำแล้ว ทำให้ กระหาย ทะเยอทะยาน เร่าร้อน กระสัน หวั่นใจ กระวนกระวาย ก็ได้ชื่อ มี วิบาก เกิดสังขาร หรือ ตัณหานี้ ก็เป็น วิบาก คือ บุคคลทำสิ่งใด ย่อมก็ให้เกิดผล พัวพัน ไม่จบสิ้นไป เหมือน ถูกผูกไว้
ก็อย่างนี้ กล่าวได้ว่า มีวิบาก ไปตามปฏิจจสมุปบาททีเดียว
วสันต์ 08 เม.ย. 50
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2009, 10:22:08 PM โดย zen
»
บันทึกการเข้า
จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย
หน้า:
[
1
]
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
คำนำ และคำอธิบายเว็บ
-----------------------------
=> ประกาศสำหรับผู้สมัครสมาชิกใหม่
=> คำนำจากผู้ดูแลระบบ
=> ความเห็นเกี่ยวกับเว็บนี้
-----------------------------
ข้อมูลสาระธรรม และคำสอน
-----------------------------
=> ข้อความพระธรรมเทศนา และคำสอนครูบาอาจารย์
=> ลิ๊งค์ข้อมูล และลิ๊งค์คำสอนครูบาอาจารย์
=> ธรรมะ โดย ท่านวสันต์
-----------------------------
กระดานสนทนาธรรม
-----------------------------
=> ปริยัติธรรม
=> สมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน
=> ชี้แจงข้อธรรม
=> สาระธรรมทั่วไป
-----------------------------
ข่าวสารสมาชิก
-----------------------------
=> กำหนดการ (schedule)
=> งานบุญทั่วไป
=> ทักทายสมาชิก
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
Powered by SMF 1.1.14
|
SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC
|
Thai language by ThaiSMF
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.291 วินาที กับ 18 คำสั่ง
กำลังโหลด...
Free SMF 1.1.5 Forum Theme
by
Tamuril
. 2008.